วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

◣ องค์การสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ( Environment and Narural Protecting Organization ) ◥

องค์กรที่มีบทบาทในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

            องค์กรที่มีบทบาทในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่
            1. องค์กรในประเทศไทย ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์พืชแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์  มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมสร้างสรรค์ไทย มูลนิธิเพื่อนช้าง เป็นต้น
            2. องค์กรต่างประเทศ ได้แก่ องค์กรเอกชนอิสระกลุ่มกรีนพีซ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลก เป็นต้น

ความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

ความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้แก่             1. การประชุมสหประชาชาติเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ เมื่อ พ.ศ. 2515 ทำให้โลกตื่นตัวและให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
            2. การประชุมเอิร์ตซัมมิต เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ
            3. พิธีสารโตเกียว เป็นข้อตกลงหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกที่เกิดจากการปล่อยแก๊สเรือนกระจก
            4. อนุสัญญาไซเตส เป็นการควบคุมการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชที่ใกล้สูญพันธุ์
            5. อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อลดปริมาณการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากการกระทำ ของมนุษย์ มิให้มีมากจนถึงระดับที่เกิดอันตรายต่อชั้นบรรยากาศของโลก

(c)  www.maceducation.com 

◣ ความสัมพันธ์ภายในระบบนิเวศ ( Ecosystems Relationship ) ◥

                องค์ของระบบนิเวศประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ไม่มีชีวิต และส่วนที่มีชีวิต ซึ่งความสัมพันธ์ มี 2 ลักษณะ คือ ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตด้วยกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต


                สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ จะต้องมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิตและ ไม่มีชีวิต สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิตในธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ได้แก่
  1. อากาศ ประกอบด้วยแก๊สต่างๆ ได้แก่ แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สไน โตรเจน ฝุ่นละออง และแก๊สอื่นๆ
  2. น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างอาหารของพืช และการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
  3. ดิน ซึ่งในแต่ละชนิดของดิน จะประกอบด้วยอินทรีย์วัตถุในดิน และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ ต่อพืช เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยตรง
  4. อุณหภูมิ เป็นระดับความร้อนของน้ำ อากาศ ดิน ซากพืช ซากสัตว์ มีผลต่อการดำรงชีวิต ของพืชและสัตว์ ถ้าสิ่งแวดล้อมมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป สิ่งมีชีวิตก็ดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้
  5. ความชื้น แสดงถึงปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในดิน อากาศ ซากสิ่งไม่มีชีวิต ถ้ามีไอน้ำปนอยู่มาก ความชื้นจะสูง ถ้ามีไอน้ำปนอยู่น้อย ความชื้นจะต่ำ ความชุ่มชื้นที่พอเหมาะมีผลต่อการ เจริญเติบโตของพืช และการอยู่อาศัยของสัตว์หลายชนิด
  6. แสงสว่าง ได้แก่ แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต ดังนี้
    • ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือการสร้างอาหารของพืช
    • เป็นปัจจัยในการกำหนดเวลาในการออกหากินของสัตว์บางชนิด เช่น ค้างคาวออก
      หากินในเวลาในเวลากลางคืน
  7. แก๊สต่างๆ ได้แก่ แก๊สออกซิเจนเป็นแก๊สที่คน สัตว์ พืช ใช้ในการหายใจ และคายแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
     สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีวิตได้อย่างปกติ แต่ ถ้าไม่อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ก็จะทำให้เกิดอันตราย จนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต


                ในธรรมชาติ เรามักพบว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งเราเรียกว่า กลุ่มสิ่งมีชีวิต ซึ่ง อาศัยอยู่แบบกระจัดกระจายในบริเวณแหล่งที่อยู่แตกต่างกัน ได้แก่ ในสระน้ำจืด ในทะเล ในป่า และกลุ่มสิ่งมีชีวิตใต้ขอนไม้ผุ เป็นต้น
                สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันในระบบนิเวศทั้ง 3 กลุ่ม คือ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย อินทรีย์สาร มีความสัมพันธ์กันหลายด้าน เช่น ความสัมพันธ์ในแง่ของการเป็นอาหาร การถ่าย ทอดพลังงานกันเป็นทอดๆ ในห่วงโซ่อาหาร ความสัมพันธ์ในแง่ของการอยู่ร่วมกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในแง่ของการเป็นอาหาร

                โซ่อาหาร หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ในลักษณะของการกินต่อกันเป็น ทอดๆ ทุกๆ ห่วงโซ่อาหารจะต้องเริ่มต้นด้วยพืช ซึ่งเป็นผู้ผลิตทุกครั้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในแง่ของการอยู่ร่วมกัน

                กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน ดังนี้
  1. ต่างฝ่ายต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน
  2. ฝ่ายหนึ่งให้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์ แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
  3. ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหยึ่งเสียประโยชน์

(c) http://www.thaigoodview.com


◣ วีดีโอเกี่ยวกับการรักษาระบบนิเวศ ( Video relate to Ecosystems Protecting ) ◥



(c) wwfthailandchannel @youtube.com

◣ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ( Ecosystems Long-Term Saving ) ◥

              ปัจจุบันเราทราบดีแล้วว่า สิ่งแวดล้อมของโลกได้ถูกมนุษย์ทำลายลงเป็นอย่างมาก เช่น การ ตัดไม้ทำลายป่า การกระทำของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก (green house effect) การใช้ สารเคมีในการปราบศัตรูพืชมากเกินไป ทำให้เกิดผลตามมา เช่น แมลงดื้อยา ดินเสื่อมสภาพ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดบนโลก รวมทั้งมนุษย์ด้วยอย่างแน่นอน
              ดังนั้น เราจึงหันมาให้ความสนใจในการที่จะดูแลรักาาสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ในสภาพที่ดีอย่างยั่ง ยืน โดยมีหลักการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน คือ
  1. การรักษาสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึง
    • การอนุรักษ์ทรัพยากร
    • ควบคุมการปล่อยของเสียสู่ธรรมชาติ
  2. การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นคุณค่า
  3. ควบคุมจำนวนประชากร เพื่อลดความต้องการการใช้ทรัพยากรของมนุษย์
  4. ลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยใช้วิธีทางธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืชแทน

หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ


ในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เหมาะสมและได้รับประโยชน์สูงสุด ควรคำนึง ถึงหลักต่อไปนี้
  1. การอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ต้องคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่นควบคู่ กันไป เพราะทรัพยากรธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์และส่งผลต่อกันอย่างแยก ไม่ได้
  2. การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด ต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และคุณภาพชีวิตอย่างกลมกลืน ตลอดจนรักษาไว้ซึ่งความสม ดุลของระบบนิเวศควบคู่กันไป
  3. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งประชาชนในเมือง ในชนบท และ ผู้บริหารทุกคนควรตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา โดย เริ่มต้นที่ตนเองและท้องถิ่นของตน ร่วมมือกันทั้งภายในประเทศและทั้งโลก
  4. ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภัยของ ทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นการทำลายมรดก และ อนาคตของชาติด้วย
  5. ประเทศมหาอำนาจที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรม มีความต้องการทรัพยากรธรรมชาติเป็น จำนวนมาก เพื่อใช้ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศของตน ดังนั้นประเทศที่กำลัง พัฒนาทั้งหลายจึงต้องช่วยกันป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจ
  6. มนุษย์สามารถนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่การจัด การนั้นไม่ควรมุ่งเพียงเพื่อการอยู่ดีกินดีเท่านั้น ต้องคำนึงถึงผลดีทางด้านจิตใจ ด้วยการ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ในการรักษาทรัพยา กรธรรมชาติ ที่จะให้ประโยชน์แก่มนุษย์ทุกแง่ทุกมุมทั้งข้อดี และข้อเสียโดยคำนึงถึงการ สูญเปล่าอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้วย
  7. รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นและหายาก ด้วยความระมัดระวังพร้อมทั้งประโยชน์และ การทำให้อยู่ในสภาพที่เพิ่มทั้งทางด้านกายภาพ และเศรษฐกิจเท่าที่ทำได้ รวมทั้งจะต้อง ตระหนักเสมอว่าการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินไป จะไม่เป็นการปลอดภัยต่อสิ่งแวด ล้อม
  8. ต้องรักษาทรัพยากรที่ทดแทนได้ โดยให้มีอัตราการผลิตเท่ากับอัตราการใช้ หรืออัตราการ เกิดเท่ากับอัตราการตายเป็นอย่างน้อย
  9. หาทางปรับปรุงวิธีการใหม่ๆ ในการผลิต และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิ ภาพ อีกทั้งพยายามค้นคว้าสิ่งใหม่มาใช้ทดแทน
  10. ให้การศึกษาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
(c) www.thaigoodview.com

◣ ระบบนิเวศแบบทะเลทราย ( Desert-Ecosystems ) ◥



            ทะเลทรายครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 18% ของพื้นที่โลก อยู่ในบริเวณเส้นรุ้ง ที่ 10 องศาเหนือและใต้ มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 10 นิ้วต่อปี มีอัตราการระเหยของน้ำสูงกว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา 5-7 เท่า อุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางส่วนของทะเลทรายจะถูกน้ำกัดเซาะ เป็นแอ่งทำให้สามารถรองรับน้ำฝนไว้ให้สัตว์ทะเลทรายใช้ได้ ปัจจัยจำกัด ที่สำคัญของทะเลทรายคือ น้ำ ส่วนแร่ธาตุต่างๆ ในดิน ความเค็มและสารอินทรีย์บางชนิดอาจเป็นปัจจัยจำกัดได้บ้าง สภาพแวดล้อม ไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต จึงพบจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิต จึงพบจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิต ค่อนข้างน้อย สิ่งมีชีวิตในทะเลทรายจะต้องปรับตัวทางโครงสร้าง ทางสรีระและพฤติกรรมเพื่อให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างกันดาร 
            พืชในทะเลทรายมีการปรับตัวสองลักษณะ คือ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแห้งแล้งด้วยการเก็บน้ำไว้ในลำต้น หรือมีรากหยั่งลงลึกมากเพื่อหาน้ำใต้ดิน หรือลดรูปของใบให้มีขนาดเล็กลงและมีสารคล้ายขี้ผึ้งเคลือบผิวใบ เพื่อลดการคายน้ำ การปรับตัวอีกลักษณะหนึ่งคือ การผลิตเมล็ดที่ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี ต่อเมื่อ อุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมจึงจะงอก และเติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากสร้างเมล็ดแล้วก็จะตายไป ลักษณะพืชในทะเลทรายมักเป็นพืชต้นเตี้ยติดดิน หรือเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสัตว์ทะเลทรายมีสองประเภทคือ พวกที่อยู่ในสภาพไข่ ดักแด้ หรือรูปอื่นที่ทนต่อสภาวะแห้งเล้งได้ยาวนานนับเดือนนับปี จนกว่าจะมีน้ำ เพียงพอจึงจะเจริญอย่างรวดเร็ว บางชนิดจะเริ่มออกหากินเมื่อฝนตกหลังจากที่จำศีล(Aestivation) เป็นระยะเวลายาวนานตลอดช่วงเวลาที่แล้งจัดอีกประเภทหนึ่งเป็นพวกที่มีกิจกรรมตลอดช่วงที่มีชีวิตอยู่ สัตว์พวกนี้มีความสามารถสูงในการปรับตัวทางสรีระ ทำให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อย่างรุนแรงระหว่างกลางวันกับกลางคืน พื้นที่ทะเลทรายอาจเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในอนาคต ทะเลทราย มีแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอในปริมาณมาก เทคโนโลยีสมัยใหม่อาจช่วยให้มนุษย์นำพลังงาน ดังกล่าวจากทะเลทรายมาใช้ได้ แต่ต้องพิจารณาให้รอบคอบในแง่ของการลงทุน และผลตอบแทน

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

◣ ข่าวระบบนิเวศ ( Ecosystems NEWS ) ◥


หวั่นหายนะระบบนิเวศเสม็ด คราบน้ำมันทะลัก


คราบน้ำมันทะลักอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด อุทยานฯ สั่งปิดชั่วคราว "พงษ์ศักดิ์"สั่งสอบข้อเท็จจริง หลังยังไม่รู้สาเหตุที่ชัด คาด 3 วันกำจัดได้หมด

อุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (พีทีทีจีซี) รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุด เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายมากกว่าที่คาดไว้ในช่วงแรก หลังจากคราบน้ำมันเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณอ่าวพร้าวเกาะเสม็ด เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค.
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ได้สั่งการให้บริษัท พีทีทีจีซี เร่งดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่และขจัดมลภาวะที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะนี้ ได้ประสานกับ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมอบหมายให้ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เป็นประธานคณะกรรมการในการตรวจสอบสาเหตุที่เกิดขึ้น
"เหตุที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ความประมาทของคน หรือสาเหตุอื่นๆ ใด เพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก เพราะครั้งนี้ถือว่าเป็นการเกิดเหตุครั้งที่ 4 แล้วในประเทศไทยและมีปริมาณน้ำมันรั่วไหลมากกว่าทุกครั้ง"
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า การดูแลคราบน้ำมันที่รั่วไหล ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และเชื่อว่าจะดำเนินการขจัดคราบน้ำมันแล้วเสร็จภายใน 3 วัน
ด้าน นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ พีทีทีจีซี กล่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เกิดขึ้น โดยจะเร่งทำการตรวจสอบสาเหตุ ว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นได้ ทั้งๆ ที่มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐาน
นายประเสริฐ กล่าวว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นบริเวณท่ออ่อนที่ใช้ถ่ายน้ำมันจากเรือไปยังท่อเหล็กใต้ทะเล จะมีอายุการใช้งานได้ถึง 2 ปี และมีการดูแลบำรุงรักษาเป็นระยะ แต่ที่เกิดเหตุมีการใช้งานไปเพียง 1 ปีเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์นี้จะทราบว่าสาเหตุเบื้องต้นว่าเกิดจากการความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของพนักงาน หรือ เกิดจากวัสดุอุปกรณ์ชำรุด
"ความเสียหายจากน้ำมันที่รั่วประมาณ 5 หมื่นลิตร ซึ่งเท่ากับน้ำมันหายไปจากรถบรรทุกน้ำมัน 1 คันครึ่ง เท่านั้น ถือว่าเป็นจำนวนไม่มาก"
ส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่วครั้งนี้ บริษัทฯ จะไปรวบรวมรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดก่อน และบริษัทยืนยันว่าจะรับผิดชอบทุกกรณี และยอมรับผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นอีก
"ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุน้ำมันรั่วขึ้น ทางบริษัทพีทีทีจีซี ได้พยายามควบคุมด้วยวิธีการต่างๆ และได้รับความร่วมมือด้วยดีจากหลายองค์กร โดยคราบน้ำมันที่ติดตามชายฝั่งจะต้องจัดการให้หมดโดยเร็ว และไม่ต้องกังวลว่าน้ำมันดิบจะรั่วอีก เพราะได้ปิดวาล์วทั้งหมดและเปลี่ยนท่ออ่อนเรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนได้ทราบเป็นระยะๆ"นายประเสริฐ กล่าว
'พีทีทีจีซี'เร่งสอบสาเหตุ
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี กล่าวว่า จากอุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 20 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุที่ชัดเจน
ส่วนมาตรการกำจัดคราบน้ำมันนั้น ขณะนี้พบว่าคราบน้ำมันไปเกาะอยู่บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง โดยร่วมมือกับกองพันทหารราบที่ 7 หน่วยนาวิกโยธิน ของกองทัพเรือ จำนวน 300 คน และผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและชาวบ้าน ช่วยกันตักหน้าดินที่เปื้อนคราบน้ำมัน และนำกลับไปแยกพร้อมกำจัดที่บริษัท พีทีทีจีซี ระยอง ซึ่งจะไม่หลงเหลือคราบน้ำมันตกค้างอีก
"คาดว่ากระบวนการกำจัดคราบน้ำมันจะเสร็จทั้งหมดในระยะเวลา 3 วัน จากนั้นจะสามารถประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ โดยบริษัทจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด โดยบริษัทได้ทำประกันภัยไว้แล้วในวงเงินประกัน 50 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 พันล้านบาท"
นายอนนต์กล่าวว่าสาเหตุของท่อรับน้ำมันรั่วในครั้งนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดต้องรอผลการตรวจสอบอีกครั้ง แต่ประเมินเบื้องต้นมีปริมาณน้ำมันดิบที่ไหลลงทะเล 5 หมื่นลิตร เป็นน้ำมันดิบโอมาน ซึ่งบริษัทได้ใช้บูมล้อมน้ำมันเพื่อไม่ให้กระจายออกไป
เผยน้ำมันเล็ดลอดเข้าเกาะเสม็ด
นายอนนต์ กล่าวว่าในวันที่ 28 ก.ค. 2556 เชื่อว่าสามารถควบคุมน้ำมันดิบได้แล้ว แต่ก็ได้รับรายงานตอนเที่ยงคืนว่าน้ำมันดิบได้เล็ดลอดไปยังชายฝั่งเกาะเสม็ด ซึ่งบริษัทได้เข้าไปตรวจสอบและใช้เครื่องบิน ซี130 ฉีดพ่นสารเคมี รวมทั้งใช้เรือตรวจสอบคราบน้ำมันด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถกำจัดคราบน้ำมันได้หมด
"เหตุการณ์น้ำมันรั่วในครั้งนี้ บริษัทขอรับผิดและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม และยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท โดยบริษัทยืนยันว่าจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูเยียวยาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จโดยเร็ว"นายอนนต์ กล่าว
การปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันโดยใช้น้ำยาขจัดคราบน้ำมัน ซึ่งจะทำให้โมเลกุลของน้ำมันดิบแตกตัวเล็กลงเป็นเม็ดเล็กๆ และลดแรงตึงผิวของคราบน้ำมันดิบ ทำให้เม็ดน้ำมันจมลงไปต่ำกว่าระดับผิวน้ำทะเลประมาณ 1-2 เมตร แล้วจุลินทรีย์ในทะเลจะย่อยสลายคราบน้ำมันโดยธรรมชาติภายใน 4 สัปดาห์ โดยไม่เกิดการตกค้างในทะเล และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
ชี้แนวน้ำมันรั่วอาจถึงอ่าวศรีราชา
ด้าน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) ได้ตรวจสอบการเคลื่อนและกระจายตัวของคราบน้ำมันโดยพบว่ามีการกระจายตัวในวงกว้างหลังจากเกิดเหตุ 12 ชั่วโมง
นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สทอภ. กล่าวว่า ภาพจากดาวเทียม เรดาร์แซท-2 ของประเทศแคนาดา เมื่อเวลา 18.31 น. ของวันที่ 27 ก.ค. แสดงให้เห็นคราบน้ำมันที่ผิวหน้าทะเล มีความกว้างยาว ประมาณ 1.5 X 8.3 ตารางกิโลเมตร โดยส่วนหัวของคราบน้ำมันมีการเคลื่อนตัวห่างจากจุดรั่วไหลประมาณ 15 กิโลเมตร และขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ปริมาณน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลประมาณ 5 หมื่นลิตร จากจุดเกิดเหตุที่อยู่ห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด จ.ระยอง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 20 กิโลเมตร โดย 12 ชั่วโมง หลังจากเกิดเหตุ คราบน้ำมันได้เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าหาฝั่ง
"ข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลกระแสน้ำจากสถานีเรดาร์ตรวจวัดคลื่นและกระแสน้ำ ชี้ให้เห็นว่าคราบน้ำมันที่ผ่านการย่อยสลายมาแล้วระดับหนึ่ง มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทิศทางของคราบน้ำมันจะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่ง ตามแนวหาดแม่รำพึง เขาแหลมหญ้า เกาะเสม็ดด้านทิศตะวันตก บางส่วนอาจเข้าไปถึงอ่าวศรีราชา จากระยะทางความกว้างประมาณ 2 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นราว 3-4 กิโลเมตร ขณะที่ความยาวอยู่ที่ 8 กิโลเมตร"
นายอานนท์ กล่าวว่า หากปล่อยให้คราบน้ำมันจำนวนมากลอยขึ้นฝั่ง การแก้ไขจะทำได้ลำบาก แต่หากทำให้คราบน้ำมันย่อยสลายไปตั้งแต่ในทะเล จะลดความอันตรายได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา อาจจะหลายวัน ซึ่งต้องมีเทคนิคในการจัดการ และความรุนแรงของเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการกำจัดคราบน้ำมัน
ชี้คราบน้ำมันขึ้นฝั่งกระทบหนัก
นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ออกมาเตือนทางเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า การใช้สารกำจัดคราบน้ำมันที่ช่วยให้น้ำมันแตกตัวและกระจายกันก่อนจมลงสู่ทะเลนั้นต้องมีความระมัดระวัง โดยเฉพาะการใช้ในทะเลตื้นที่มีความลึกต่ำกว่า 20 เมตร เพราะมีหลายงานวิจัยที่ระบุว่ามีความเสี่ยง โดยมีงานวิจัยล่าสุดที่เปิดเผยในการประชุมระดับนานาชาติเกี่ยวกับการรั่วของน้ำมันเมื่อปี 2012
นายธรณ์ กล่าวว่า อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าการรั่วของน้ำมันครั้งนี้มีความเสี่ยงและผลกระทบ และควรอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนถึงการรับมือให้ชัดเจน เช่น ใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันไปอย่างไรบ้าง จะมีคราบน้ำมันหลุดไปถึงชายหาดใดบ้าง เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่เตรียมรับมือ เป็นต้น ที่ผ่านมามีแต่บอกว่าไม่มีผลกระทบ
ทั้งนี้ หากคราบน้ำมันถูกพัดเข้าชายฝั่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเล และเป็นแหล่งทำการประมง จึงมีการใช้สารกำจัดคราบน้ำมันเพื่อให้แตกตัวและจมลงสู่ทะเลเพื่อการย่อยสลายตามธรรมชาติต่อไป
กรมประมงหวั่นกระทบหญ้าทะเล
นายวิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การใช้สารสลายคราบน้ำมันที่ลอยอยู่กลางทะเล คุณสมบัติจะไปจับกับน้ำมันให้จับตัวเป็นก้อนและจะจมลงสู่ทะเลประมาณ 2-3 เมตร ซึ่งในบริเวณที่เป็นน้ำลึกจะไม่มีปัญหา แต่กังวลบริเวณชายฝั่งและบริเวณน้ำตื้น คราบน้ำมันจะไปจับกับปะการัง และหญ้าทะเล
สำหรับบริเวณที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเล เป็นบริเวณทำประมงอวนชมพู มีการวางอวนล้อมจับปลาในทะเล แต่จากการสำรวจสัตว์น้ำทะเลในบริเวณที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลล่าสุด ยังไม่พบสัตว์น้ำตายผิดปกติแต่อย่างใด เพราะสัตว์น้ำเหล่านี้สามารถว่ายหนีบริเวณที่มีคราบน้ำมันไปอยู่ในบริเวณที่น้ำสะอาดได้
"ตอนนี้คราบน้ำมันถูกคลื่นลมพัดมาถึงชายหาดเกาะเสม็ด สิ่งที่กรมประมง ติดตามอย่างใกล้ชิด คือ จับตาดูว่าคราบน้ำมันจะลอยมาถึงบริเวณชายฝั่ง ต.บ้านเพ อ.เมือง จ.ระยอง หรือไม่ เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งประมงชายฝั่ง และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลที่สำคัญ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายมาก"นายวิมล กล่าว
อุทยานฯสั่งปิดอ่าวพร้าวชั่วคราว
นายสุเมธ สายทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งปิดอ่าวพร้าว ในพื้นที่เกาะเสม็ดเป็นการชั่วคราว โดยห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวและบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่เด็ดขาด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของคืนวันที่ 28 ก.ค.
ขณะนี้ มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 500 นาย ช่วยกันเก็บน้ำมันออกจากบริเวณหน้าหาด และน้ำมันที่ปนเปื้อนอยู่ในทะเลตลอด วิธีการทำงาน คือ ตักน้ำมันที่ลอยอยู่บนหาดตักใส่ถุง ส่วนน้ำมันที่ลอยทะเลใช้วิธีดูดใส่ถัง เพื่อเอาไปจัดการบนฝั่ง"
นางสาวสุชนา ชวนิชย์ จาก ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวล คือ คราบน้ำมันที่เข้าใกล้ชายฝั่ง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และแนวปะการัง ซึ่งอยู่บริเวณชายฝั่งค่อนข้างมาก หากคราบน้ำมันมาถึงชายฝั่งบ้านเพ ซึ่งเป็นแหล่งทำประมง เชื่อว่าจะส่งผลกระทบมากกว่านี้ 
วันที่ 30 กรกฎาคม 2556 10:05