อุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (พีทีทีจีซี) รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุด เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายมากกว่าที่คาดไว้ในช่วงแรก หลังจาก
คราบน้ำมันเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณอ่าวพร้าว
เกาะเสม็ด เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค.
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ได้สั่งการให้บริษัท พีทีทีจีซี เร่งดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่และขจัดมลภาวะที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะนี้ ได้ประสานกับ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมอบหมายให้ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เป็นประธานคณะกรรมการในการตรวจสอบสาเหตุที่เกิดขึ้น
"เหตุที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ความประมาทของคน หรือสาเหตุอื่นๆ ใด เพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก เพราะครั้งนี้ถือว่าเป็นการเกิดเหตุครั้งที่ 4 แล้วในประเทศไทยและมีปริมาณ
น้ำมันรั่วไหลมากกว่าทุกครั้ง"
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า การดูแล
คราบน้ำมันที่รั่วไหล ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และเชื่อว่าจะดำเนินการขจัด
คราบน้ำมันแล้วเสร็จภายใน 3 วัน
ด้าน นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ พีทีทีจีซี กล่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์
น้ำมันรั่วที่เกิดขึ้น โดยจะเร่งทำการตรวจสอบสาเหตุ ว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นได้ ทั้งๆ ที่มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐาน
นายประเสริฐ กล่าวว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นบริเวณท่ออ่อนที่ใช้ถ่ายน้ำมันจากเรือไปยังท่อเหล็กใต้ทะเล จะมีอายุการใช้งานได้ถึง 2 ปี และมีการดูแลบำรุงรักษาเป็นระยะ แต่ที่เกิดเหตุมีการใช้งานไปเพียง 1 ปีเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์นี้จะทราบว่าสาเหตุเบื้องต้นว่าเกิดจากการความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของพนักงาน หรือ เกิดจากวัสดุอุปกรณ์ชำรุด
"ความเสียหายจากน้ำมันที่รั่วประมาณ 5 หมื่นลิตร ซึ่งเท่ากับน้ำมันหายไปจากรถบรรทุกน้ำมัน 1 คันครึ่ง เท่านั้น ถือว่าเป็นจำนวนไม่มาก"
ส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก
น้ำมันรั่วครั้งนี้ บริษัทฯ จะไปรวบรวมรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดก่อน และบริษัทยืนยันว่าจะรับผิดชอบทุกกรณี และยอมรับผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นอีก
"ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ
น้ำมันรั่วขึ้น ทางบริษัทพีทีทีจีซี ได้พยายามควบคุมด้วยวิธีการต่างๆ และได้รับความร่วมมือด้วยดีจากหลายองค์กร โดย
คราบน้ำมันที่ติดตามชายฝั่งจะต้องจัดการให้หมดโดยเร็ว และไม่ต้องกังวลว่าน้ำมันดิบจะรั่วอีก เพราะได้ปิดวาล์วทั้งหมดและเปลี่ยนท่ออ่อนเรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนได้ทราบเป็นระยะๆ"นายประเสริฐ กล่าว
'พีทีทีจีซี'เร่งสอบสาเหตุ
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี กล่าวว่า จากอุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 20 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุที่ชัดเจน
ส่วนมาตรการกำจัด
คราบน้ำมันนั้น ขณะนี้พบว่า
คราบน้ำมันไปเกาะอยู่บริเวณอ่าวพร้าว
เกาะเสม็ด จ.ระยอง โดยร่วมมือกับกองพันทหารราบที่ 7 หน่วยนาวิกโยธิน ของกองทัพเรือ จำนวน 300 คน และผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและชาวบ้าน ช่วยกันตักหน้าดินที่เปื้อน
คราบน้ำมัน และนำกลับไปแยกพร้อมกำจัดที่บริษัท พีทีทีจีซี ระยอง ซึ่งจะไม่หลงเหลือ
คราบน้ำมันตกค้างอีก
"คาดว่ากระบวนการกำจัด
คราบน้ำมันจะเสร็จทั้งหมดในระยะเวลา 3 วัน จากนั้นจะสามารถประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ โดยบริษัทจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด โดยบริษัทได้ทำประกันภัยไว้แล้วในวงเงินประกัน 50 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 พันล้านบาท"
นายอนนต์กล่าวว่าสาเหตุของท่อรับ
น้ำมันรั่วในครั้งนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดต้องรอผลการตรวจสอบอีกครั้ง แต่ประเมินเบื้องต้นมีปริมาณน้ำมันดิบที่ไหลลงทะเล 5 หมื่นลิตร เป็นน้ำมันดิบโอมาน ซึ่งบริษัทได้ใช้บูมล้อมน้ำมันเพื่อไม่ให้กระจายออกไป
นายอนนต์ กล่าวว่าในวันที่ 28 ก.ค. 2556 เชื่อว่าสามารถควบคุมน้ำมันดิบได้แล้ว แต่ก็ได้รับรายงานตอนเที่ยงคืนว่าน้ำมันดิบได้เล็ดลอดไปยังชายฝั่ง
เกาะเสม็ด ซึ่งบริษัทได้เข้าไปตรวจสอบและใช้เครื่องบิน ซี130 ฉีดพ่นสารเคมี รวมทั้งใช้เรือตรวจสอบ
คราบน้ำมันด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถกำจัด
คราบน้ำมันได้หมด
"เหตุการณ์
น้ำมันรั่วในครั้งนี้ บริษัทขอรับผิดและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม และยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท โดยบริษัทยืนยันว่าจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูเยียวยาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จโดยเร็ว"นายอนนต์ กล่าว
การปฏิบัติการขจัด
คราบน้ำมันโดยใช้น้ำยาขจัด
คราบน้ำมัน ซึ่งจะทำให้โมเลกุลของน้ำมันดิบแตกตัวเล็กลงเป็นเม็ดเล็กๆ และลดแรงตึงผิวของ
คราบน้ำมันดิบ ทำให้เม็ดน้ำมันจมลงไปต่ำกว่าระดับผิวน้ำทะเลประมาณ 1-2 เมตร แล้วจุลินทรีย์ในทะเลจะย่อยสลาย
คราบน้ำมันโดยธรรมชาติภายใน 4 สัปดาห์ โดยไม่เกิดการตกค้างในทะเล และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
ด้าน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) ได้ตรวจสอบการเคลื่อนและกระจายตัวของ
คราบน้ำมันโดยพบว่ามีการกระจายตัวในวงกว้างหลังจากเกิดเหตุ 12 ชั่วโมง
นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สทอภ. กล่าวว่า ภาพจากดาวเทียม เรดาร์แซท-2 ของประเทศแคนาดา เมื่อเวลา 18.31 น. ของวันที่ 27 ก.ค. แสดงให้เห็น
คราบน้ำมันที่ผิวหน้าทะเล มีความกว้างยาว ประมาณ 1.5 X 8.3 ตารางกิโลเมตร โดยส่วนหัวของ
คราบน้ำมันมีการเคลื่อนตัวห่างจากจุดรั่วไหลประมาณ 15 กิโลเมตร และขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ปริมาณน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลประมาณ 5 หมื่นลิตร จากจุดเกิดเหตุที่อยู่ห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด จ.ระยอง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 20 กิโลเมตร โดย 12 ชั่วโมง หลังจากเกิดเหตุ
คราบน้ำมันได้เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าหาฝั่ง
"ข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลกระแสน้ำจากสถานีเรดาร์ตรวจวัดคลื่นและกระแสน้ำ ชี้ให้เห็นว่า
คราบน้ำมันที่ผ่านการย่อยสลายมาแล้วระดับหนึ่ง มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทิศทางของ
คราบน้ำมันจะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่ง ตามแนวหาดแม่รำพึง เขาแหลมหญ้า
เกาะเสม็ดด้านทิศตะวันตก บางส่วนอาจเข้าไปถึงอ่าวศรีราชา จากระยะทางความกว้างประมาณ 2 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นราว 3-4 กิโลเมตร ขณะที่ความยาวอยู่ที่ 8 กิโลเมตร"
นายอานนท์ กล่าวว่า หากปล่อยให้
คราบน้ำมันจำนวนมากลอยขึ้นฝั่ง การแก้ไขจะทำได้ลำบาก แต่หากทำให้
คราบน้ำมันย่อยสลายไปตั้งแต่ในทะเล จะลดความอันตรายได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา อาจจะหลายวัน ซึ่งต้องมีเทคนิคในการจัดการ และความรุนแรงของเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการกำจัด
คราบน้ำมัน
นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ออกมาเตือนทางเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า การใช้สารกำจัด
คราบน้ำมันที่ช่วยให้น้ำมันแตกตัวและกระจายกันก่อนจมลงสู่ทะเลนั้นต้องมีความระมัดระวัง โดยเฉพาะการใช้ในทะเลตื้นที่มีความลึกต่ำกว่า 20 เมตร เพราะมีหลายงานวิจัยที่ระบุว่ามีความเสี่ยง โดยมีงานวิจัยล่าสุดที่เปิดเผยในการประชุมระดับนานาชาติเกี่ยวกับการรั่วของน้ำมันเมื่อปี 2012
นายธรณ์ กล่าวว่า อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าการรั่วของน้ำมันครั้งนี้มีความเสี่ยงและผลกระทบ และควรอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนถึงการรับมือให้ชัดเจน เช่น ใช้สารเคมีกำจัด
คราบน้ำมันไปอย่างไรบ้าง จะมี
คราบน้ำมันหลุดไปถึงชายหาดใดบ้าง เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่เตรียมรับมือ เป็นต้น ที่ผ่านมามีแต่บอกว่าไม่มีผลกระทบ
ทั้งนี้ หาก
คราบน้ำมันถูกพัดเข้าชายฝั่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเล และเป็นแหล่งทำการประมง จึงมีการใช้สารกำจัด
คราบน้ำมันเพื่อให้แตกตัวและจมลงสู่ทะเลเพื่อการย่อยสลายตามธรรมชาติต่อไป
กรมประมงหวั่นกระทบหญ้าทะเล
นายวิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การใช้สารสลาย
คราบน้ำมันที่ลอยอยู่กลางทะเล คุณสมบัติจะไปจับกับน้ำมันให้จับตัวเป็นก้อนและจะจมลงสู่ทะเลประมาณ 2-3 เมตร ซึ่งในบริเวณที่เป็นน้ำลึกจะไม่มีปัญหา แต่กังวลบริเวณชายฝั่งและบริเวณน้ำตื้น
คราบน้ำมันจะไปจับกับปะการัง และหญ้าทะเล
สำหรับบริเวณที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเล เป็นบริเวณทำประมงอวนชมพู มีการวางอวนล้อมจับปลาในทะเล แต่จากการสำรวจสัตว์น้ำทะเลในบริเวณที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลล่าสุด ยังไม่พบสัตว์น้ำตายผิดปกติแต่อย่างใด เพราะสัตว์น้ำเหล่านี้สามารถว่ายหนีบริเวณที่มี
คราบน้ำมันไปอยู่ในบริเวณที่น้ำสะอาดได้
"ตอนนี้
คราบน้ำมันถูกคลื่นลมพัดมาถึงชายหาด
เกาะเสม็ด สิ่งที่กรมประมง ติดตามอย่างใกล้ชิด คือ จับตาดูว่า
คราบน้ำมันจะลอยมาถึงบริเวณชายฝั่ง ต.บ้านเพ อ.เมือง จ.ระยอง หรือไม่ เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งประมงชายฝั่ง และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลที่สำคัญ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายมาก"นายวิมล กล่าว
อุทยานฯสั่งปิดอ่าวพร้าวชั่วคราว
นายสุเมธ สายทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่
เกาะเสม็ด กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งปิดอ่าวพร้าว ในพื้นที่
เกาะเสม็ดเป็นการชั่วคราว โดยห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวและบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่เด็ดขาด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของคืนวันที่ 28 ก.ค.
ขณะนี้ มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 500 นาย ช่วยกันเก็บน้ำมันออกจากบริเวณหน้าหาด และน้ำมันที่ปนเปื้อนอยู่ในทะเลตลอด วิธีการทำงาน คือ ตักน้ำมันที่ลอยอยู่บนหาดตักใส่ถุง ส่วนน้ำมันที่ลอยทะเลใช้วิธีดูดใส่ถัง เพื่อเอาไปจัดการบนฝั่ง"
นางสาวสุชนา ชวนิชย์ จาก ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวล คือ
คราบน้ำมันที่เข้าใกล้ชายฝั่ง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และแนวปะการัง ซึ่งอยู่บริเวณชายฝั่งค่อนข้างมาก หาก
คราบน้ำมันมาถึงชายฝั่งบ้านเพ ซึ่งเป็นแหล่งทำประมง เชื่อว่าจะส่งผลกระทบมากกว่านี้
วันที่ 30 กรกฎาคม 2556 10:05