วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

◣ ข่าวระบบนิเวศ ( Ecosystems NEWS ) ◥


หวั่นหายนะระบบนิเวศเสม็ด คราบน้ำมันทะลัก


คราบน้ำมันทะลักอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด อุทยานฯ สั่งปิดชั่วคราว "พงษ์ศักดิ์"สั่งสอบข้อเท็จจริง หลังยังไม่รู้สาเหตุที่ชัด คาด 3 วันกำจัดได้หมด

อุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (พีทีทีจีซี) รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุด เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายมากกว่าที่คาดไว้ในช่วงแรก หลังจากคราบน้ำมันเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณอ่าวพร้าวเกาะเสม็ด เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค.
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ได้สั่งการให้บริษัท พีทีทีจีซี เร่งดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่และขจัดมลภาวะที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะนี้ ได้ประสานกับ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมอบหมายให้ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เป็นประธานคณะกรรมการในการตรวจสอบสาเหตุที่เกิดขึ้น
"เหตุที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ความประมาทของคน หรือสาเหตุอื่นๆ ใด เพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก เพราะครั้งนี้ถือว่าเป็นการเกิดเหตุครั้งที่ 4 แล้วในประเทศไทยและมีปริมาณน้ำมันรั่วไหลมากกว่าทุกครั้ง"
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า การดูแลคราบน้ำมันที่รั่วไหล ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และเชื่อว่าจะดำเนินการขจัดคราบน้ำมันแล้วเสร็จภายใน 3 วัน
ด้าน นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ พีทีทีจีซี กล่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เกิดขึ้น โดยจะเร่งทำการตรวจสอบสาเหตุ ว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นได้ ทั้งๆ ที่มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐาน
นายประเสริฐ กล่าวว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นบริเวณท่ออ่อนที่ใช้ถ่ายน้ำมันจากเรือไปยังท่อเหล็กใต้ทะเล จะมีอายุการใช้งานได้ถึง 2 ปี และมีการดูแลบำรุงรักษาเป็นระยะ แต่ที่เกิดเหตุมีการใช้งานไปเพียง 1 ปีเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์นี้จะทราบว่าสาเหตุเบื้องต้นว่าเกิดจากการความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของพนักงาน หรือ เกิดจากวัสดุอุปกรณ์ชำรุด
"ความเสียหายจากน้ำมันที่รั่วประมาณ 5 หมื่นลิตร ซึ่งเท่ากับน้ำมันหายไปจากรถบรรทุกน้ำมัน 1 คันครึ่ง เท่านั้น ถือว่าเป็นจำนวนไม่มาก"
ส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่วครั้งนี้ บริษัทฯ จะไปรวบรวมรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดก่อน และบริษัทยืนยันว่าจะรับผิดชอบทุกกรณี และยอมรับผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นอีก
"ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุน้ำมันรั่วขึ้น ทางบริษัทพีทีทีจีซี ได้พยายามควบคุมด้วยวิธีการต่างๆ และได้รับความร่วมมือด้วยดีจากหลายองค์กร โดยคราบน้ำมันที่ติดตามชายฝั่งจะต้องจัดการให้หมดโดยเร็ว และไม่ต้องกังวลว่าน้ำมันดิบจะรั่วอีก เพราะได้ปิดวาล์วทั้งหมดและเปลี่ยนท่ออ่อนเรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนได้ทราบเป็นระยะๆ"นายประเสริฐ กล่าว
'พีทีทีจีซี'เร่งสอบสาเหตุ
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี กล่าวว่า จากอุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 20 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุที่ชัดเจน
ส่วนมาตรการกำจัดคราบน้ำมันนั้น ขณะนี้พบว่าคราบน้ำมันไปเกาะอยู่บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง โดยร่วมมือกับกองพันทหารราบที่ 7 หน่วยนาวิกโยธิน ของกองทัพเรือ จำนวน 300 คน และผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและชาวบ้าน ช่วยกันตักหน้าดินที่เปื้อนคราบน้ำมัน และนำกลับไปแยกพร้อมกำจัดที่บริษัท พีทีทีจีซี ระยอง ซึ่งจะไม่หลงเหลือคราบน้ำมันตกค้างอีก
"คาดว่ากระบวนการกำจัดคราบน้ำมันจะเสร็จทั้งหมดในระยะเวลา 3 วัน จากนั้นจะสามารถประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ โดยบริษัทจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด โดยบริษัทได้ทำประกันภัยไว้แล้วในวงเงินประกัน 50 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 พันล้านบาท"
นายอนนต์กล่าวว่าสาเหตุของท่อรับน้ำมันรั่วในครั้งนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดต้องรอผลการตรวจสอบอีกครั้ง แต่ประเมินเบื้องต้นมีปริมาณน้ำมันดิบที่ไหลลงทะเล 5 หมื่นลิตร เป็นน้ำมันดิบโอมาน ซึ่งบริษัทได้ใช้บูมล้อมน้ำมันเพื่อไม่ให้กระจายออกไป
เผยน้ำมันเล็ดลอดเข้าเกาะเสม็ด
นายอนนต์ กล่าวว่าในวันที่ 28 ก.ค. 2556 เชื่อว่าสามารถควบคุมน้ำมันดิบได้แล้ว แต่ก็ได้รับรายงานตอนเที่ยงคืนว่าน้ำมันดิบได้เล็ดลอดไปยังชายฝั่งเกาะเสม็ด ซึ่งบริษัทได้เข้าไปตรวจสอบและใช้เครื่องบิน ซี130 ฉีดพ่นสารเคมี รวมทั้งใช้เรือตรวจสอบคราบน้ำมันด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถกำจัดคราบน้ำมันได้หมด
"เหตุการณ์น้ำมันรั่วในครั้งนี้ บริษัทขอรับผิดและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม และยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท โดยบริษัทยืนยันว่าจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูเยียวยาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จโดยเร็ว"นายอนนต์ กล่าว
การปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันโดยใช้น้ำยาขจัดคราบน้ำมัน ซึ่งจะทำให้โมเลกุลของน้ำมันดิบแตกตัวเล็กลงเป็นเม็ดเล็กๆ และลดแรงตึงผิวของคราบน้ำมันดิบ ทำให้เม็ดน้ำมันจมลงไปต่ำกว่าระดับผิวน้ำทะเลประมาณ 1-2 เมตร แล้วจุลินทรีย์ในทะเลจะย่อยสลายคราบน้ำมันโดยธรรมชาติภายใน 4 สัปดาห์ โดยไม่เกิดการตกค้างในทะเล และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
ชี้แนวน้ำมันรั่วอาจถึงอ่าวศรีราชา
ด้าน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) ได้ตรวจสอบการเคลื่อนและกระจายตัวของคราบน้ำมันโดยพบว่ามีการกระจายตัวในวงกว้างหลังจากเกิดเหตุ 12 ชั่วโมง
นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สทอภ. กล่าวว่า ภาพจากดาวเทียม เรดาร์แซท-2 ของประเทศแคนาดา เมื่อเวลา 18.31 น. ของวันที่ 27 ก.ค. แสดงให้เห็นคราบน้ำมันที่ผิวหน้าทะเล มีความกว้างยาว ประมาณ 1.5 X 8.3 ตารางกิโลเมตร โดยส่วนหัวของคราบน้ำมันมีการเคลื่อนตัวห่างจากจุดรั่วไหลประมาณ 15 กิโลเมตร และขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ปริมาณน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลประมาณ 5 หมื่นลิตร จากจุดเกิดเหตุที่อยู่ห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด จ.ระยอง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 20 กิโลเมตร โดย 12 ชั่วโมง หลังจากเกิดเหตุ คราบน้ำมันได้เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าหาฝั่ง
"ข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลกระแสน้ำจากสถานีเรดาร์ตรวจวัดคลื่นและกระแสน้ำ ชี้ให้เห็นว่าคราบน้ำมันที่ผ่านการย่อยสลายมาแล้วระดับหนึ่ง มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทิศทางของคราบน้ำมันจะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่ง ตามแนวหาดแม่รำพึง เขาแหลมหญ้า เกาะเสม็ดด้านทิศตะวันตก บางส่วนอาจเข้าไปถึงอ่าวศรีราชา จากระยะทางความกว้างประมาณ 2 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นราว 3-4 กิโลเมตร ขณะที่ความยาวอยู่ที่ 8 กิโลเมตร"
นายอานนท์ กล่าวว่า หากปล่อยให้คราบน้ำมันจำนวนมากลอยขึ้นฝั่ง การแก้ไขจะทำได้ลำบาก แต่หากทำให้คราบน้ำมันย่อยสลายไปตั้งแต่ในทะเล จะลดความอันตรายได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา อาจจะหลายวัน ซึ่งต้องมีเทคนิคในการจัดการ และความรุนแรงของเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการกำจัดคราบน้ำมัน
ชี้คราบน้ำมันขึ้นฝั่งกระทบหนัก
นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ออกมาเตือนทางเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า การใช้สารกำจัดคราบน้ำมันที่ช่วยให้น้ำมันแตกตัวและกระจายกันก่อนจมลงสู่ทะเลนั้นต้องมีความระมัดระวัง โดยเฉพาะการใช้ในทะเลตื้นที่มีความลึกต่ำกว่า 20 เมตร เพราะมีหลายงานวิจัยที่ระบุว่ามีความเสี่ยง โดยมีงานวิจัยล่าสุดที่เปิดเผยในการประชุมระดับนานาชาติเกี่ยวกับการรั่วของน้ำมันเมื่อปี 2012
นายธรณ์ กล่าวว่า อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าการรั่วของน้ำมันครั้งนี้มีความเสี่ยงและผลกระทบ และควรอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนถึงการรับมือให้ชัดเจน เช่น ใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันไปอย่างไรบ้าง จะมีคราบน้ำมันหลุดไปถึงชายหาดใดบ้าง เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่เตรียมรับมือ เป็นต้น ที่ผ่านมามีแต่บอกว่าไม่มีผลกระทบ
ทั้งนี้ หากคราบน้ำมันถูกพัดเข้าชายฝั่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเล และเป็นแหล่งทำการประมง จึงมีการใช้สารกำจัดคราบน้ำมันเพื่อให้แตกตัวและจมลงสู่ทะเลเพื่อการย่อยสลายตามธรรมชาติต่อไป
กรมประมงหวั่นกระทบหญ้าทะเล
นายวิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การใช้สารสลายคราบน้ำมันที่ลอยอยู่กลางทะเล คุณสมบัติจะไปจับกับน้ำมันให้จับตัวเป็นก้อนและจะจมลงสู่ทะเลประมาณ 2-3 เมตร ซึ่งในบริเวณที่เป็นน้ำลึกจะไม่มีปัญหา แต่กังวลบริเวณชายฝั่งและบริเวณน้ำตื้น คราบน้ำมันจะไปจับกับปะการัง และหญ้าทะเล
สำหรับบริเวณที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเล เป็นบริเวณทำประมงอวนชมพู มีการวางอวนล้อมจับปลาในทะเล แต่จากการสำรวจสัตว์น้ำทะเลในบริเวณที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลล่าสุด ยังไม่พบสัตว์น้ำตายผิดปกติแต่อย่างใด เพราะสัตว์น้ำเหล่านี้สามารถว่ายหนีบริเวณที่มีคราบน้ำมันไปอยู่ในบริเวณที่น้ำสะอาดได้
"ตอนนี้คราบน้ำมันถูกคลื่นลมพัดมาถึงชายหาดเกาะเสม็ด สิ่งที่กรมประมง ติดตามอย่างใกล้ชิด คือ จับตาดูว่าคราบน้ำมันจะลอยมาถึงบริเวณชายฝั่ง ต.บ้านเพ อ.เมือง จ.ระยอง หรือไม่ เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งประมงชายฝั่ง และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลที่สำคัญ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายมาก"นายวิมล กล่าว
อุทยานฯสั่งปิดอ่าวพร้าวชั่วคราว
นายสุเมธ สายทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งปิดอ่าวพร้าว ในพื้นที่เกาะเสม็ดเป็นการชั่วคราว โดยห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวและบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่เด็ดขาด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของคืนวันที่ 28 ก.ค.
ขณะนี้ มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 500 นาย ช่วยกันเก็บน้ำมันออกจากบริเวณหน้าหาด และน้ำมันที่ปนเปื้อนอยู่ในทะเลตลอด วิธีการทำงาน คือ ตักน้ำมันที่ลอยอยู่บนหาดตักใส่ถุง ส่วนน้ำมันที่ลอยทะเลใช้วิธีดูดใส่ถัง เพื่อเอาไปจัดการบนฝั่ง"
นางสาวสุชนา ชวนิชย์ จาก ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวล คือ คราบน้ำมันที่เข้าใกล้ชายฝั่ง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และแนวปะการัง ซึ่งอยู่บริเวณชายฝั่งค่อนข้างมาก หากคราบน้ำมันมาถึงชายฝั่งบ้านเพ ซึ่งเป็นแหล่งทำประมง เชื่อว่าจะส่งผลกระทบมากกว่านี้ 
วันที่ 30 กรกฎาคม 2556 10:05

◣ วีดีโอเกี่ยวกับระบบนิเวศน้ำเค็ม ( Videos relate to Marine Ecosystems ) ◥




(c) GEFSecretariat &Brian Marrocco @youtube.com

◣ ประเภทของระบบนิเวศ ( Types of Ecosystem ) ◥



ระบบนิเวศสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้


1. ระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystems)




 เป็นระบบนิเวศที่ปรากฏอยู่บนพื้นดินซึ่งแตกต่างกันไปโดยใช้ลักษณะเด่นของพืชเป็นหลักแบ่ง ซึ่งขึ้นกับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ อุณหภูมิและปริมาณน้ำฝน ทำให้พืชพรรณต่างๆ แตกต่างกัน ระบบนิเวศบนบกนั้นพอแบ่งออกได้ดังนี้

1.1 ระบบนิเวศป่าไม้ (Forest Ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ สามารถแบ่งย่อยออกไปได้ดังนี้

1) ระบบนิเวศป่าไม้เขตร้อน ได้แก่ ระบบนิเวศป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา เป็นต้น
2) ระบบนิเวศป่าไม้เขตอบอุ่น ได้แก่ ระบบนิเวศป่าผลัดใบเขตอบอุ่น ป่าเมดิเตอร์เรเนียน
3) ระบบนิเวศป่าไม้เขตหนาว ได้แก่ระบบนิเวศป่าสน
4) ระบบนิเวศป่าชายฝั่ง (ป่าชายเลน ป่าชายหาด ป่าโขดหิน)

1.2 ระบบนิเวศน์ทุ่งหญ้า (Grassland Ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่มีพืชตระกูลหญ้าเป็นพืชเด่น แบ่งได้ดังนี้

1) ระบบนิเวศน์ทุ่งหญ้าเขตร้อน ได้แก่ ระบบนิเวศทุ่งหญ้าซาวันนา โดยมีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลกที่รูจักกันในนามทุ่งหญ้าซาฟารี
2) ระบบนิเวศน์ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ได้แก่ ระบบนิเวศทุ่งหญ้าแพรรี่, ทุ่งหญ้าสเตปป์
3) ระบบนิเวศน์ทุ่งหญ้าเขตหนาว ทุ่งหญ้าทุนดรา

1.3 ระบบนิเวศน์ทะเลทราย (Desert Ecosystem) เป็นพื้นที่ที่มีปริมาณฝนตกน้อยกว่าปริมาณการระเหยน้ำ แต่บางพื้นที่อาจมีฝนตกบ้างเล็กน้อยก็จะมีหญ้าเขตแห้งแล้งงอกงามได้ ได้แก่

1) ระบบนิเวศน์ทะเลทรายเขตร้อน ทะเลทรายเขตอบอุ่น
2) ระบบนิเวศน์ทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายเขตร้อน ทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายเขตร้อน


2. ระบบนิเวศทางน้ำ (Aquatic Ecosystems)



 เป็นระบบนิเวศในแหล่งน้ำต่าง ๆ ของโลก ซึ่งโครงสร้างหลัก
คือ น้ำนั่นเอง แบ่งออกได้ดังนี้

2.1 ระบบนิเวศน้ำจืด (Fresh water Ecosystem) เป็นระบบที่น้ำเป็นน้ำจืด อาจแบ่งย่อยเป็น
2.1.1 ระบบนิเวศน้ำนิ่ง เช่น หนอง บึง ทะเลสาบน้ำจืด เป็นต้น
2.1.2 ระบบนิเวศน้ำไหล เช่น ลำธาร ห้วย แม่น้ำ เป็นต้น


2.2 ระบบนิเวศน้ำกร่อย (Estuarine Ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่เกิดขึ้นตรงรอยต่อระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็ม มักเป็นบริเวณที่เป็นปากแม่น้ำต่าง ๆ จะมีตะกอนมากจึงมีป่าไม้กลุ่มป่าชายเลนขึ้นจึงเรียกว่า
ระบบนิเวศป่าชายเลน แต่บางพื้นที่อาจเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น ทะเลสงขลาตอนกลางก็จะมีลักษณะเป็นทะเลสาบน้ำกร่อยมีพืชน้ำสลับกับป่าโกงกาง

2.3 ระบบนิเวศน้ำเค็ม (Marine Ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่มีน้ำเป็นน้ำเค็ม โดยปกติจะมีความเค็มประมาณพันละ 35 มีทั้งที่เป็นทะเลปิดและทะเลเปิด เนื่องจากเป็นห้วงน้ำขนาดใหญ่ จึงนิยมแบ่งออกเป็นระบบนิเวศย่อยตามความลึกของน้ำอีกด้วย คือ
2.3.1 ระบบนิเวศชายฝั่ง (Coastal Ecosystem) เป็นบริเวณที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลง สิ่งมีชีวิตต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลง
ของระดับน้ำดังกล่าว มีระบบย่อย 2 ประเภท คือ ระบบนิเวศโขดหินชายฝั่ง และ ระบบนิเวศชายหาด
2.3.2 ระบบนิเวศน้ำตื้น เป็นระบบนิเวศที่นับจากระบบนิเวศชายฝั่งลงไปจนถึงน้ำลึก 200 เมตร
2.3.3 ระบบนิเวศทะเลลึก เป็นระบบนิเวศที่นับต่อเนื่องจากความลึก 200 เมตรลงไปถึงท้องทะเล ส่วนนี้มักเป็นบริเวณที่แสงแดดส่องลงไปไม่ถึง ดังนั้นจึงขาดแคลนผู้ผลิตของระบบ สัตว์น้ำต่าง ๆ จึงมีจำนวนน้อยและใช้ชีวิตโดยรอซากสิ่งชีวิตอื่นที่ตายจากด้านบนแล้ว

◣ ส่วนประกอบระบบนิเวศ ( Factor of Ecosystem ) ◥


ส่วนประกอบ



ในระบบนิเวศหนึ่งๆ นั้น จะประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วนด้วยกัน คือ


           1.องค์ประกอบที่มีชีวิต ซึ่งแบ่งย่อยออกไปตามหน้าที่ ได้ดังนี้

           ▽ผู้ผลิต หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารได้ด้วยตัวเองจากพลังงานแสงอาทิตย์เพราะมีสารสีเขียวที่เรียกว่า คลอโรพีลล์ซึ่งได้แก่ พืชสีเขียวทุกชนิดและบัคเตรีบางชนิดรวมทั้งสิ้นประมาณ 300,000ชนิด พืชเหล่านี้สร้างอาหารโดยอาศัยพลังงานจากดวงอาทิตย์และอนินทรียสาร 

           ▽ผู้บริโภค เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตัวมันเองไม่สามารถสร้างอาหารได้ต้องอาศัยการกินพืชและสัตว์อื่นๆ

           ▽ผู้ย่อยสลาย เป็นพวกที่ปรุงอาหารเองไม่ได้ ต้องอาศัยซากของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นอาหาร ได้แก่ จุลินทรีย์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่ ได้แก่ บัคเตรี เห็ด รา ยีสต์ ฟังไจ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้ จะทำการย่อยสลายซากชีวิตต่างๆ โดยการขับเอนไซม์ออกมาย่อยสลายจนอยู่ในรูปของสารละลาย แล้วจากนั้นก็ดูดซับเข้าไปในลำตัวของมันต่อไป การย่อยสลายในระดับดังกล่าวได้ก่อให้เกิดสารประกอบในรูปของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งกลุ่มผู้ย่อยสลายจะทำหน้าที่เปลี่ยนสารอินทรีย์เหล่านี้ให้เป็นสารอนินทรีย์ ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เพื่อให้พืชสีเขียวดังไปใช้สร้างธาตุอาหารต่อไปใหม่


            2.องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต ซึ่งประกอบด้วย

           ▽อนินทรียสาร ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน น้ำ ไฮโดรเจน ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฯลฯ

           ▽อินทรียสาร ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ฯลฯ ซึ่งพืชและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้งหลาย ทำการสังเคราะห์ขึ้นมาจากสารอนินทรีย์ 

           ▽ภูมิอากาศ ได้แก่ แสง อุณหภูมิความชื้น น้ำฝน

◣ ระบบนิเวศ ( Ecosystem ) ◥


ระบบนิเวศ



           ระบบนิเวศ หมายถึง หน่วยของความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่งหนึ่ง มาจากรากศัพท์ในภาษากรีก 2 คำ คือOikos แปลว่า บ้าน, ที่อยู่อาศัย,แหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตLogos แปลว่า เหตุผล, ความคิด


ความหมายของคำต่างๆ ในระบบนิเวศ

 

              สิ่งมีชีวิต (Organism)หมายถึง สิ่งที่ต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิต

           △ประชากร (Population)หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เป็นชนิดเดียวกัน อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ณ ช่วงเวลาเดียวกัน

           △กลุ่มสิ่งมีชีวิต (Community) หมายถึง สิ่งมีชีวิตต่างๆ หลายชนิด มาอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตนั้นๆ มีความสัมพันธ์กันโดยตรงหรือโดยทางอ้อม

           △โลกของสิ่งมีชีวิต (Biosphere) หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกัน

           △แหล่งที่อยู่ (Habitat)หมายถึง แหล่งที่อยู่อาศัยของกลุ่มสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งบนบกและในน้ำ

           △สิ่งแวดล้อม (Environment)หมายถึง สิ่งที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลก