วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

◣ องค์การสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ( Environment and Narural Protecting Organization ) ◥

องค์กรที่มีบทบาทในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

            องค์กรที่มีบทบาทในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่
            1. องค์กรในประเทศไทย ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์พืชแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์  มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมสร้างสรรค์ไทย มูลนิธิเพื่อนช้าง เป็นต้น
            2. องค์กรต่างประเทศ ได้แก่ องค์กรเอกชนอิสระกลุ่มกรีนพีซ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลก เป็นต้น

ความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

ความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้แก่             1. การประชุมสหประชาชาติเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ เมื่อ พ.ศ. 2515 ทำให้โลกตื่นตัวและให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
            2. การประชุมเอิร์ตซัมมิต เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ
            3. พิธีสารโตเกียว เป็นข้อตกลงหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกที่เกิดจากการปล่อยแก๊สเรือนกระจก
            4. อนุสัญญาไซเตส เป็นการควบคุมการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชที่ใกล้สูญพันธุ์
            5. อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อลดปริมาณการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากการกระทำ ของมนุษย์ มิให้มีมากจนถึงระดับที่เกิดอันตรายต่อชั้นบรรยากาศของโลก

(c)  www.maceducation.com 

◣ ความสัมพันธ์ภายในระบบนิเวศ ( Ecosystems Relationship ) ◥

                องค์ของระบบนิเวศประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ไม่มีชีวิต และส่วนที่มีชีวิต ซึ่งความสัมพันธ์ มี 2 ลักษณะ คือ ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตด้วยกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต


                สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ จะต้องมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิตและ ไม่มีชีวิต สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิตในธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ได้แก่
  1. อากาศ ประกอบด้วยแก๊สต่างๆ ได้แก่ แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สไน โตรเจน ฝุ่นละออง และแก๊สอื่นๆ
  2. น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างอาหารของพืช และการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
  3. ดิน ซึ่งในแต่ละชนิดของดิน จะประกอบด้วยอินทรีย์วัตถุในดิน และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ ต่อพืช เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยตรง
  4. อุณหภูมิ เป็นระดับความร้อนของน้ำ อากาศ ดิน ซากพืช ซากสัตว์ มีผลต่อการดำรงชีวิต ของพืชและสัตว์ ถ้าสิ่งแวดล้อมมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป สิ่งมีชีวิตก็ดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้
  5. ความชื้น แสดงถึงปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในดิน อากาศ ซากสิ่งไม่มีชีวิต ถ้ามีไอน้ำปนอยู่มาก ความชื้นจะสูง ถ้ามีไอน้ำปนอยู่น้อย ความชื้นจะต่ำ ความชุ่มชื้นที่พอเหมาะมีผลต่อการ เจริญเติบโตของพืช และการอยู่อาศัยของสัตว์หลายชนิด
  6. แสงสว่าง ได้แก่ แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต ดังนี้
    • ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือการสร้างอาหารของพืช
    • เป็นปัจจัยในการกำหนดเวลาในการออกหากินของสัตว์บางชนิด เช่น ค้างคาวออก
      หากินในเวลาในเวลากลางคืน
  7. แก๊สต่างๆ ได้แก่ แก๊สออกซิเจนเป็นแก๊สที่คน สัตว์ พืช ใช้ในการหายใจ และคายแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
     สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีวิตได้อย่างปกติ แต่ ถ้าไม่อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ก็จะทำให้เกิดอันตราย จนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต


                ในธรรมชาติ เรามักพบว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งเราเรียกว่า กลุ่มสิ่งมีชีวิต ซึ่ง อาศัยอยู่แบบกระจัดกระจายในบริเวณแหล่งที่อยู่แตกต่างกัน ได้แก่ ในสระน้ำจืด ในทะเล ในป่า และกลุ่มสิ่งมีชีวิตใต้ขอนไม้ผุ เป็นต้น
                สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันในระบบนิเวศทั้ง 3 กลุ่ม คือ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย อินทรีย์สาร มีความสัมพันธ์กันหลายด้าน เช่น ความสัมพันธ์ในแง่ของการเป็นอาหาร การถ่าย ทอดพลังงานกันเป็นทอดๆ ในห่วงโซ่อาหาร ความสัมพันธ์ในแง่ของการอยู่ร่วมกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในแง่ของการเป็นอาหาร

                โซ่อาหาร หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ในลักษณะของการกินต่อกันเป็น ทอดๆ ทุกๆ ห่วงโซ่อาหารจะต้องเริ่มต้นด้วยพืช ซึ่งเป็นผู้ผลิตทุกครั้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในแง่ของการอยู่ร่วมกัน

                กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน ดังนี้
  1. ต่างฝ่ายต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน
  2. ฝ่ายหนึ่งให้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์ แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
  3. ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหยึ่งเสียประโยชน์

(c) http://www.thaigoodview.com


◣ วีดีโอเกี่ยวกับการรักษาระบบนิเวศ ( Video relate to Ecosystems Protecting ) ◥



(c) wwfthailandchannel @youtube.com

◣ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ( Ecosystems Long-Term Saving ) ◥

              ปัจจุบันเราทราบดีแล้วว่า สิ่งแวดล้อมของโลกได้ถูกมนุษย์ทำลายลงเป็นอย่างมาก เช่น การ ตัดไม้ทำลายป่า การกระทำของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก (green house effect) การใช้ สารเคมีในการปราบศัตรูพืชมากเกินไป ทำให้เกิดผลตามมา เช่น แมลงดื้อยา ดินเสื่อมสภาพ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดบนโลก รวมทั้งมนุษย์ด้วยอย่างแน่นอน
              ดังนั้น เราจึงหันมาให้ความสนใจในการที่จะดูแลรักาาสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ในสภาพที่ดีอย่างยั่ง ยืน โดยมีหลักการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน คือ
  1. การรักษาสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึง
    • การอนุรักษ์ทรัพยากร
    • ควบคุมการปล่อยของเสียสู่ธรรมชาติ
  2. การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นคุณค่า
  3. ควบคุมจำนวนประชากร เพื่อลดความต้องการการใช้ทรัพยากรของมนุษย์
  4. ลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยใช้วิธีทางธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืชแทน

หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ


ในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เหมาะสมและได้รับประโยชน์สูงสุด ควรคำนึง ถึงหลักต่อไปนี้
  1. การอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ต้องคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่นควบคู่ กันไป เพราะทรัพยากรธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์และส่งผลต่อกันอย่างแยก ไม่ได้
  2. การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด ต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และคุณภาพชีวิตอย่างกลมกลืน ตลอดจนรักษาไว้ซึ่งความสม ดุลของระบบนิเวศควบคู่กันไป
  3. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งประชาชนในเมือง ในชนบท และ ผู้บริหารทุกคนควรตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา โดย เริ่มต้นที่ตนเองและท้องถิ่นของตน ร่วมมือกันทั้งภายในประเทศและทั้งโลก
  4. ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภัยของ ทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นการทำลายมรดก และ อนาคตของชาติด้วย
  5. ประเทศมหาอำนาจที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรม มีความต้องการทรัพยากรธรรมชาติเป็น จำนวนมาก เพื่อใช้ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศของตน ดังนั้นประเทศที่กำลัง พัฒนาทั้งหลายจึงต้องช่วยกันป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจ
  6. มนุษย์สามารถนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่การจัด การนั้นไม่ควรมุ่งเพียงเพื่อการอยู่ดีกินดีเท่านั้น ต้องคำนึงถึงผลดีทางด้านจิตใจ ด้วยการ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ในการรักษาทรัพยา กรธรรมชาติ ที่จะให้ประโยชน์แก่มนุษย์ทุกแง่ทุกมุมทั้งข้อดี และข้อเสียโดยคำนึงถึงการ สูญเปล่าอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้วย
  7. รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นและหายาก ด้วยความระมัดระวังพร้อมทั้งประโยชน์และ การทำให้อยู่ในสภาพที่เพิ่มทั้งทางด้านกายภาพ และเศรษฐกิจเท่าที่ทำได้ รวมทั้งจะต้อง ตระหนักเสมอว่าการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินไป จะไม่เป็นการปลอดภัยต่อสิ่งแวด ล้อม
  8. ต้องรักษาทรัพยากรที่ทดแทนได้ โดยให้มีอัตราการผลิตเท่ากับอัตราการใช้ หรืออัตราการ เกิดเท่ากับอัตราการตายเป็นอย่างน้อย
  9. หาทางปรับปรุงวิธีการใหม่ๆ ในการผลิต และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิ ภาพ อีกทั้งพยายามค้นคว้าสิ่งใหม่มาใช้ทดแทน
  10. ให้การศึกษาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
(c) www.thaigoodview.com

◣ ระบบนิเวศแบบทะเลทราย ( Desert-Ecosystems ) ◥



            ทะเลทรายครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 18% ของพื้นที่โลก อยู่ในบริเวณเส้นรุ้ง ที่ 10 องศาเหนือและใต้ มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 10 นิ้วต่อปี มีอัตราการระเหยของน้ำสูงกว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา 5-7 เท่า อุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางส่วนของทะเลทรายจะถูกน้ำกัดเซาะ เป็นแอ่งทำให้สามารถรองรับน้ำฝนไว้ให้สัตว์ทะเลทรายใช้ได้ ปัจจัยจำกัด ที่สำคัญของทะเลทรายคือ น้ำ ส่วนแร่ธาตุต่างๆ ในดิน ความเค็มและสารอินทรีย์บางชนิดอาจเป็นปัจจัยจำกัดได้บ้าง สภาพแวดล้อม ไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต จึงพบจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิต จึงพบจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิต ค่อนข้างน้อย สิ่งมีชีวิตในทะเลทรายจะต้องปรับตัวทางโครงสร้าง ทางสรีระและพฤติกรรมเพื่อให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างกันดาร 
            พืชในทะเลทรายมีการปรับตัวสองลักษณะ คือ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแห้งแล้งด้วยการเก็บน้ำไว้ในลำต้น หรือมีรากหยั่งลงลึกมากเพื่อหาน้ำใต้ดิน หรือลดรูปของใบให้มีขนาดเล็กลงและมีสารคล้ายขี้ผึ้งเคลือบผิวใบ เพื่อลดการคายน้ำ การปรับตัวอีกลักษณะหนึ่งคือ การผลิตเมล็ดที่ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี ต่อเมื่อ อุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมจึงจะงอก และเติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากสร้างเมล็ดแล้วก็จะตายไป ลักษณะพืชในทะเลทรายมักเป็นพืชต้นเตี้ยติดดิน หรือเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสัตว์ทะเลทรายมีสองประเภทคือ พวกที่อยู่ในสภาพไข่ ดักแด้ หรือรูปอื่นที่ทนต่อสภาวะแห้งเล้งได้ยาวนานนับเดือนนับปี จนกว่าจะมีน้ำ เพียงพอจึงจะเจริญอย่างรวดเร็ว บางชนิดจะเริ่มออกหากินเมื่อฝนตกหลังจากที่จำศีล(Aestivation) เป็นระยะเวลายาวนานตลอดช่วงเวลาที่แล้งจัดอีกประเภทหนึ่งเป็นพวกที่มีกิจกรรมตลอดช่วงที่มีชีวิตอยู่ สัตว์พวกนี้มีความสามารถสูงในการปรับตัวทางสรีระ ทำให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อย่างรุนแรงระหว่างกลางวันกับกลางคืน พื้นที่ทะเลทรายอาจเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในอนาคต ทะเลทราย มีแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอในปริมาณมาก เทคโนโลยีสมัยใหม่อาจช่วยให้มนุษย์นำพลังงาน ดังกล่าวจากทะเลทรายมาใช้ได้ แต่ต้องพิจารณาให้รอบคอบในแง่ของการลงทุน และผลตอบแทน